วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4

สรุป

การทำงานเป็นทีม หมายถึง การร่วมกันทำงานของสมาชิกที่มากกว่า 1 คน โดยที่สมาชิกทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกันจะทำอะไรแล้วทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน มีการวางแผนการทำงานร่วมกัน

การทำงานเป็นทีม มีความสำคัญในทุกองค์กร การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารงาน การทำงานเป็นทีมมีบทบาทสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกเป็นอย่างดี

แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
                        1.การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
        2.แรงจูงใจของมนุษย์
        3.ธรรมชาติของมนุษย์

             ลักษณะที่สำคัญของทีม 4 ประการ ได้แก่

            1. การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล หมายถึง การที่สมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีความเกี่ยวข้องกันในกิจการของกลุ่ม

2. มีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายร่วมกัน หมายถึง การที่สมาชิกกลุ่มจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมร่วมกัน

3. การมีโครงสร้างของทีม

4. สมาชิกมีบทบาทและมีความรู้สึกร่วมกัน การรักษาบทบาทที่มั่นคงในแต่ละทีม

การทำงานเป็นทีมเป็นแรงจูงใจสำคัญที่จะผลักดันให้ท่านเป็นผู้นำที่ดี ถ้าท่านประสงค์ที่จะนำทีมให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน ท่านจำเป็นต้องค้นหาคุณลักษณะของการทำงานเป็นทีมให้พบระลึกไว้เสมอว่าทุกคนมีอิสระในตัวเอง

ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ

            เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปัญหา สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟังกัน ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์ ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา มีการพัฒนาตนเอง รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น เข้าใจต่อเพื่อนร่วมงาน และสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี

แนวคิดหลักของการทำงานเป็นทีม

     1. การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
              ทางด้านร่างกาย          ความเชื่อถือ
              จิตใจ                           ค่านิยม
              อารมณ์                        ด้านการรับรู้
              ความรู้สึก                    ด้านประสบการณ์
              บุคลิกภาพ                  อื่นๆ

     2. แรงจูงใจของมนุษย์
              1. ความต้องการด้านร่างกาย
              2. ความต้องการด้านความมั่นคง
              3. ความต้องการทางสังคม
              4. ความต้องการความสมหวังในชีวิต
     3. ธรรมชาติของมนุษย์
              1. มนุษย์พฤติกรรม
              2. มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด
              3. มนุษย์มีปัญญา

การทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพ

              สิ่งสำคัญก่อนสิ่งอื่นใดในการทำงานเป็นทีม ต้องเริ่มจากตัวบุึคคล โดยสมาชิกทุกคนจะต้องมีความพร้อมและมีความเข้าใจที่ตรงกัน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือ ขั้นตอนในการทำงาน โดยเมื่อได้รับมอบหมายงานมาแล้ว ทุกคนจะต้องมาช่วยกันวิเคราะห์งาน ช่วยกันกำหนดเป้าหมายในการทำงาน และร่วมกันวางแผนงาน โดยมีการกำหนดกิจกรรมและแบ่งงานให้กับสมาชิก เพื่อลงมือปฏิบัติจริงตามแผนที่วางไว้ โดยหัวหน้างานจะต้องติดตามผลการทำงานอย่างใกล้ชิด และเมื่อร่วมกันทำงานจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมีการประเมินหลังการทำงานทุกครั้งเพื่อหาข้อบกพร่อง
             เช่น การทำงานกลุ่ม สมาชิกทุกคนก็จะต้องมาประชุมกันเพื่อมาวิเคราะห์งานว่าจะทำกันอย่างไรและช่วยกันวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน หลังจากนั้นก็แบ่งหน้าที่กันทำงานตาแผนงานที่วางไว้ข้างต้น โดยจะมีการสอบถามการทำงานของแต่ละฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อนำเสนองานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งคุยกันถึงข้อบกพร่องในงานที่ทำ




วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 3


ความแตกต่างของ การจัดการเรียนการสอน จัดชั้นเรียน เตรียมการสอน ในยุคศตวรรษที่ 21 กับยุคก่อนศตวรรษที่ 21

         การจัดการเรียนการสอน จัดชั้นเรียน เตรียมการสอน ในก่อนยุคศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในห้องเรียน ครูจะเป็นผู้จัดบรรยากาศในชั้นเรียนและเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กเพียงอย่างเดียว เด็กไม่รู้จักค้นหาความรู้ด้วยตนเอง โดยเขียนแผนการจัดการเรียนการสอนเป็นรายปี เน้นการเรียนแบบท่องจำและการจัดการเรียนการสอน จัดชั้นเรียน เตรียมการสอน ในยุคศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ไม่ใช่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น สามารถเรียนรู้ได้ในสถานการณ์จริง ซึ่งครูจะเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ เด็กเป็นผู้ไขว้คว้าหาความรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งครูจะต้องมีแผนการสอนหลายรูปแบบ

ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุคต่อไปข้างหน้า ให้สรุปตามแนวคิดของนักศึกษา

สำหรับดิฉันเอง ในยุคนี้มีการใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารเป็นอย่างมาก ฉะนั้นแล้วในการที่เราจะสอนเด็กในยุคนั้นก็ควรสอนเด็กผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่สามารถใช้ในการสื่อสารได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในห้องเรียนก็ควรที่จะเป็นแบบใหม่มากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะห้องเรียนที่เป็นสี่เหลี่ยมเท่านั้น แต่ควรจะเป็นห้องเรียนที่สามารถให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า หรือเกิดการเรียนรู้ในรอบๆตัวเขา และในการสอนนั้นควรสอนในสิ่งที่นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการสอนนั้น ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเขา โดยเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวเขามากที่สุด และในการจัดระบบการเรียนการสอนในยุคนี้อาจารย์ควรที่จะใช้สื่อเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น ให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านทาง E-learning โดยสามารถสั่งงาน หรือส่งงานผ่านทางระบบออนไลน์ต่างๆ และสามารถสื่อสารกับนักเรียนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สอนให้เด็กรู้จักคิดโดยการตั้งคำถามให้กับเด็ก แล้วให้เด็กคิดหาวิธีทางแก้ปัญหา หรือให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากๆ โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆที่มีอยู่รอบๆตัวเรา หรือให้เด็กเรียนรู้ไปแล้วทำแบบฝึกหัด โดยอาจจะให้เด็กหาความรู้จากแหล่งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่มีอยู่ โดยครูจำเป็นจะต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในการสอน




วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 2


ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
มาสโลว์



 มาสโลว์มองว่าความต้องการของมนุษย์มีลักษณะเป็นลำดับขั้น  จากระดับต่ำ

สุดไปยังระดับสูงสุด เมื่อความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้ว

มนุษย์ก็จะมีความต้องการอื่นในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
แมกเกรเกอร์ เป็นเจ้าของทฤษฏีการมองต่างมุม โดยแบ่งเป็น
               ทฤษฏี X โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น
               ทฤษฏี Y โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหา
วิลเลี่ยม  โอชิ เป็นเจ้าของทฤษฏี Z โดยนำข้อดีและข้อเสียของทฤษฏี A และทฤษฏี J มาวิเคราะห์แล้วนำมาผสมผสานกัน  แนวความคิดก็คือ  องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์  แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระและมีความต้องการ  หน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ  ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ  คือ
        1.       การทำให้ปรัชญาที่กำหนดไว้บรรลุ
        2.       การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
        3.       การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
        4.       การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทฤษฎีนี้ใช้หลักการ 3 ประการ  คือ
        1.       คนในองค์การต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
        2.       คนในองค์การต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
        3.       คนในองค์การต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง

อังริ  ฟาโยล ได้เสนอหลักการจัดการ 14 ประการ
       เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ และเขาสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ
แมกซ์ เวเบอร์ เห็นว่าเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น หากได้รับการพัฒนาในระดับที่เหมาะสม มี 6 ประการ คือ
1.  องค์กรต้องแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
2.  ต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับขั้น
3.  ระบบคัดเลือกคนต้องทำอย่างเป็นทางการ
4.   องค์กรต้องมีระเบียบ และมีกฎเกณฑ์
5.   ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
6.   แยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ
Luther Gulick



        Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม 7

ประการมาใช้ในการบริหารจัดการ ในวงการบริหารจะรู้จักกิจกรรมทั้ง 7

ประการนี้เป็นอย่างดี มีคำย่อว่า POSDCORB คือ
                  P – Planning หมายถึง การวางแผน
                  O – Organizing หมายถึง การจัดองค์การ
                  S – Staffing หมายถึง การจัดคนเข้าทำงาน
                  D – Directing หมายถึง การสั่งการ
                  Co – Coordinating หมายถึง ความร่วมมือ
                  R – Reporting หมายถึง การรายงาน
                  B – Budgeting หมายถึง งบประมาณ
Frederick  Herzberg



เฮิร์ซเบอร์กได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน เขาประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
      ปัจจัยภายนอกนั้นจะเป็นแรงจูงใจที่สนองตอบต่อความต้องการภายนอกของคน ส่วนปัจจัยภายในจะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญต่อคนมากกว่าปัจจัยภายนอก
เทย์เลอร์ ได้คิดทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้แก่
1.  ศึกษางานแต่ละส่วนด้วยระบบวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับงาน
2.  ใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและอบรมพนักงาน
3.   ผสานงานกันอย่างใกล้ชิด
4.   แบ่งงานเป็นส่วนๆ
Henry L. Gantt เป็นผู้พัฒนาการอธิบายแผนที่มีความซับซ้อนโดยการใช้กราฟ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้น
Frank B. & Lillian M. Gilbreths  เป็นแนวคิดที่เป็นการกำจัดความสิ้นเปลือง โดยการลดระยะเวลาในการทำงาน เพื่อให้ได้งานเท่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน




บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
ความเป็นมาและพัฒนาการบริหาร
การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Cameralists”ให้คำจำกัดความ  การบริหาร  หมายถึง  การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆ  ของรัฐ  ต่อมาพวกอเมริกันที่เรียกว่า  Federalist  ให้ความหมาย  การบริหารว่า  เป็นการบริหารของรัฐ   หรือการบริหารตามแนวรัฐศาสตร์
ความสำคัญของการบริหาร  เป็นการดำรงอยู่รวมกันของมนุษย์  เป็นผลทำให้การบริหารของหน่วยงานต่างๆได้ขยายงานอย่างกว้างขวางคำว่าการบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ  เพื่อพัฒนาสังคมในทุกๆด้าน
สำหรับปรัชญาของการศึกษามีอยู่  13  ประการ  คือ
1.ผู้บริหารต้องใช้ความฉลาดไหวพริบมาใช้แก้ปัญหา       2. ผู้บริหารต้องเปิดให้คนเข้าร่วมในการทำงาน
3.ผู้บริหารต้องเคารพความเป็นคนของแต่ละคน                 4.ผู้บริหารต้องยึดเป้าหมายของการศึกษาเป็น
5.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้ประสานประโยชน์               6.ผู้บริหารต้องเปิดโอกาสให้คนเข้าพบทำความเข้าใจ
7.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเป็นผู้นำ                                    8.ผู้บริหารต้องถือว่าตนเองคือนักศึกษาผู้ยึดมั่น
9. ผู้บริหารต้องเสียสละทุกอย่าง                                        10. ผู้บริหารจะต้องประสานงาน
11.ผู้บริหารจะต้องบริหารงานอยู่เสมอ                             12.ผู้บริหารต้องเคารพในวิชาชีพของการบริหาร
13.ผู้บริหารต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ 
 และแสวงหาความชำนาญ

บทที่  2
วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
           2.1 วิวัฒนาการด้านรัฐกิจ  การบริหารงานของรัฐหมายถึง  การบริหารหรือจัดการหรือดำเนินการในด้านรายละเอียดอย่างมีแบบแผน  ซึ่งเกี่ยวพันกับกฎหมายต่างๆของรัฐการใช้กฎหมายคือการบริหาร
          2.2  วิวัฒนาการด้านธุรกิจ  การจัดการ  เป็นสาขาที่สำคัญ  นอกจากการใช้  “ระเบียบวินัยในการทำงาน”  การบริหารด้านธุรกิจมีการวางกฎเกณฑ์
          2.3  การแบ่งยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหาร
                    2.3.1  ยุคที่1  นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม
                  2.3.2  การประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
               2.3.3  ยุคที่2  ยุค  Human  Relation  Era  ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์
                   2.3.4  การประยุต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษา
               2.3.5  ยุคที่3  ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ
          2.3.6  การประยุกต์ใช้พฤติกรรมศาสตร์ในการบริหารการศึกษา
               2.3.7  ทฤษฎีองค์การเชิงระบบ
                  2.3.8  การประยุกต์เชิงระบบในการบริหารการศึกษา
บทที่  3
งานบริหารการศึกษา
                 การที่มีใครสักคนเข้ามาบริหารงานการศึกษาและสามารถเข้ากับประชาชน  ครูและนักเรียนได้แต่การศึกษายังถูกเข้าใจว่า  เป็นงานธรรมดาที่ใครก็สามารถทำได้และการบริหารการศึกษาจะไม่แตกกับการบริหารงานทั่วไป  ในวงการเดียวกัน  อาจารย์ใหญ่จะรับผิดชอบต่อผู้บริหารที่สูงขึ้นไป  คุณลักษณะและผลเสียของการบริหารดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ง่าย  เพราะจะมีลักษณะเผด็จการโดยการสั่งการสั่งจากเบื้องบน  มีคำสั่งให้ครูปฏิบัติและมีข้อห้ามในการกระทำ  และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการลงโทษหากผู้ใดฝ่าฝืนและลงโทษตามกฎหมายกำหนดและมีเครือข่ายทางการศึกษาดังนี้
1.การผลิต  หมายถึง  กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้น  ในทางการศึกษา
2.การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน  หมายถึง  กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
           3.การเงินและการบัญชี  หมายถึง  การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ
4.บุคลากร  คือ  การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย
           5.การประสานงาน  คือ  เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา
บทที่  4
กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
            การบริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ  เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา  การบริหารราชการ  และการบริหารธุรกิจจะแตกต่างกัน  และปรัชญาการศึกษา  ในการบริหารการศึกษาผู้บริหารนั้นจะต้องรู้เกี่ยวกับหลักการบริหาร  ที่สามารถนำไปเป็นหลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี  2  เรื่อง  คือ  1.การจัดระบบสังคม,2.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
            สำหรับหลักการจัดระบบการศึกษา  ไม่ว่าระดับชาติ  ระดับท้องถิ่น  ระดับโรงเรียน  คือ  จะต้องรู้จักเด็กทุกคน  โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญา สภาพแวดล้อมของโรงเรียน  และมีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกันโดยกระบวนการบริหารการศึกษา  เป็นความคิดรวบยอดและเป็นการจัดระบบการศึกษา  ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน
                                                          บทที่  5
องค์การและการจัดองค์การ
5.1  ความหมายขององค์การ
เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น  3  ลักษณะใหญ่ๆคือ
        1.องค์การทางสังคม   2.องค์การทางราชการ      3.องค์การเอกชน
5.2 แนวคิดในการจัดองค์การ
        1.  แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
        2.  แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง  “ผู้ปฏิบัติงาน”
       3.  แนวในการจัดการองค์การ  จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป
5.3 ความสำคัญของการจัดองค์การ  องค์การเป็นที่รวมของคนและเป็นที่รวมของงานต่างๆ  เพื่อให้พนักงานขององค์การ  ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
5.4  หลักการในการจัดองค์การ
1.  หลักวัตถุประสงค์                                  2.  หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
3.  หลักการประสานงาน                            4.   หลักการบังคบบัญชา
5.  หลักความรับผิดชอบ                             6.  หลักความสมดุล
7.  หลักความต่อเนื่อง                                 8.  หลักการโต้ตอบและการติดตาม
           9.  หลักขอบเขตของการควบคุม               10.  หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
11.  หลักตามลำดับขั้น                                12.  หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
5.5  องค์ประกอบในการจัดองค์การ
1.  หน้าที่การงานเป็นภารกิจ          2.  การแบ่งงานกันทำ
3.  การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ
5.6  ประเภทขององค์การรูปนัย   แบ่งออก  4  ประเภท
1.  สมาคมเพื่อประโยชน์ของสมาชิก                   2.  องค์การทางธุรกิจ
3.  องค์การเพื่อบริการ                                          4.  องค์การเพื่อสาธารณชน
5.7  ทฤษฎีองค์การ  คือ  ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีขององค์การอันด้มาจากสังคมวิทยา  รัฐศาสตร์  และบางส่วนของจิตวิทยาสังคมกับเศรษฐศาสตร์    
5.8  ระบบราชการและองค์การทางการศึกษา
            ระบบราชการ  หมายถึง  ระบบการบริหารที่มีลักษณรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก  มีความอิสระในการปฎิบัติงานและเป็นกึ่งทหาร
บทที่ 6
การติดต่อสื่อสาร
             การติดต่อสื่อสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการบริหารที่ดี มีความหมายว่ากระบวนการติดต่อเกี่ยวข้องและประสานงานกันระหว่างบุคคล โดยอาศัยวิธีการถ่ายทอด และการรับข้อมูลเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยในการติดต่อสื่อสารมี 3 ตัว คือ สื่อ ช่องทางที่สื่อผ่านและกระบวนการ รูปแบบของการติดต่อสื่อสาร การจัดเตรียม การสังเกตการณ์ของกระบวนการ การจำแนกปัจจัยผันแปร
บทที่ 7
ภาวะผู้นำ
                ภาวะผู้นำ หมายถึงการเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน หน้าที่ผู้นำเกี่ยวข้องกับ การอำนวย การจูงใจ การริเริ่ม กำหนดนโยบาย วินิจฉัยสั่งการ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ มีผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์ ผู้นำกับผู้บริหารจะแตกต่างกันคือผู้นำก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้รักษาความมั่นคงในหน่วยงาน
บทที่ 8
การประสานงาน
              การประสานงาน คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่งๆร่มมือปฎิบัติงานเป็นน้ำหนึ่งเดี่ยวกัน เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบาย ความมุ่งหมายในการประสานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานโดยไม่จำเป็น และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน ภารกิจในการประสานงานที่ดี ควรทราบถึงภารกิจที่ดีในการประสานงานคือต้องทราบนโยบาย แผนงาน งานที่รับผิดชอบ และทรัพยากร ส่วนหลักการประสานงานควรจัดให้มีระบบในการสื่อสาร ความร่วมมือ การประสานงานและนโยบายที่ดี และในการประสานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
บทที่ 9
การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
              การตัดสินใจคือการชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือการสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางขึ้นไป หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน  ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก และการแสวงหาคำแนะนำ
บทที่ 10
ภารกิจของผู้บริหารโรงเรียน
              ผู้บริหารโรงเรียน  ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆ  จะมีหลายด้าน ดังนี้  1.การบริหารงานวิชาการ จะเป็นหัวใจของการบริหารในโรงเรียน 2.การบริหารบุคคล คือการจัดงานเกี่ยวกับคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ความสำคัญของการบริหารบุคคล คือ คนเป็นผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ เพื่อสรรหาและเลือกสรรคนดี มีความรู้ความสามารถมาทำงานให้เกิดผลสูงสุดอยู่กับองศ์การ 3.การบริการธุรการในโรงเรียน คืองานธุรการเป็นเรื่องของการให้บริการแก่หน่วยงานต่างๆของโรงเรียนหรอสถาบันการศึกษา 4.การบริหารงานนักเรียน เป็นการบริการงานเกี่ยวกับนักเรียนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนในห้องเรียน  5.การบริหารอาคารสถานที่และบริการด้านอื่นๆ คือการรู้จักจัดหา รู้จักใช้อาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้คงสภาพดีสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ